ระบบขับถ่ายกับการรักษาดุลยภาพ
ของร่างกาย
สิ่งมีชีวิตใช้อากาศสลายอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน หรืออาจกล่าวว่ากระบวนการเมแทบอลิซึมในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทำให้เกิดของเสีย ซึ่งได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ สารประกอบไนโตรเจน และน้ำ ซึ่งร่างกายต้องกำจัดออกไป การกำจัดของเสียที่เกิดจากเมแทบอลิซึม เรียกว่า การขับถ่าย ( excretion ) สารบางอย่างที่เกิดขึ้นเป็นพิษกับเซลล์ เซลล์จึงต้องหาทางกำจัดออก เช่นเดียวกับน้ำที่เกิดขึ้นหากมีมากเกินพอเซลล์จะกำจัดออก เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเสียที่เป็นสารประกอบไนโตรเจน
( Nitrogenous waste ) อันเกิดจากเมแทบอลิซึมของโปรตีนหรือ กรดอะมิโนและกรดนิวคลีอิก ซึ่งมีการกำจัดสารประกอบไนโตรเจนออกไปในรูปของแอมโมเนีย ( NH3 ) เมื่อแอมโมเนียออกมาจะละลายน้ำกลายเป็นแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ ( NH4 OH ) ซึ่งเกิดการแตกตัวต่อกลายเป็นแอมโมเนียมไอออน
( NH+4 ) และไฮดรอกซิลไอออน ทั้งแอมโมเนียและแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ล้วนเป็นสารพิษที่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ กำจัดออกหรือเปลี่ยนเป็นยูเรียหรือกรดยูริก แล้วจึงกำจัดออกนอกร่างกาย เช่น โพรโทซัวน้ำจืด และสัตว์น้ำไร้กระดูกสันหลังกำจัดแอมโมเนีย ปลาหรือสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในน้ำกำจัดแอมโมเนีย แมลง สัตว์เลื้อยคลานและนกกำจัดของเสียออกมาในรูปกรดยูริก
( Uric acid ) เพื่อการประหยัดน้ำ ส่วนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกำจัดของเสียพวกไนโตรเจนในรูปของยูเรีย
( Nitrogenous waste ) อันเกิดจากเมแทบอลิซึมของโปรตีนหรือ กรดอะมิโนและกรดนิวคลีอิก ซึ่งมีการกำจัดสารประกอบไนโตรเจนออกไปในรูปของแอมโมเนีย ( NH3 ) เมื่อแอมโมเนียออกมาจะละลายน้ำกลายเป็นแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ ( NH4 OH ) ซึ่งเกิดการแตกตัวต่อกลายเป็นแอมโมเนียมไอออน
( NH+4 ) และไฮดรอกซิลไอออน ทั้งแอมโมเนียและแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ล้วนเป็นสารพิษที่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ กำจัดออกหรือเปลี่ยนเป็นยูเรียหรือกรดยูริก แล้วจึงกำจัดออกนอกร่างกาย เช่น โพรโทซัวน้ำจืด และสัตว์น้ำไร้กระดูกสันหลังกำจัดแอมโมเนีย ปลาหรือสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังที่อยู่ในน้ำกำจัดแอมโมเนีย แมลง สัตว์เลื้อยคลานและนกกำจัดของเสียออกมาในรูปกรดยูริก
( Uric acid ) เพื่อการประหยัดน้ำ ส่วนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกำจัดของเสียพวกไนโตรเจนในรูปของยูเรีย
รูปที่ 1 แผนภาพแสดงความแตกต่างของการหลั่งสาร ( Secretion )
การขับถ่าย
เหงื่อและปัสสาวะ ( excretion ) กับการถ่ายอุจจาระ ( defecation )
การหลั่ง สารเป็นการนำสารที่มีประโยชน์จากอาหารมาใช้ในเมแทบอลิซึม เมื่อ
กินอาหารเข้าไป อาหารส่วนหนึ่งจะถูกย่อย และนำไปใช้ในกระบวนการ เมแทบอลิซึม
ของเสียที่เกิดขึ้นถูกขับถ่ายออกมาทางเหงื่อ และปัสสาวะ
ส่วนอาหารที่ย่อยไม่ได้หรือไม่ได้ย่อยถูกขับออกมาทางอุจจาระ
1. การขับถ่ายของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสัตว์บางชนิด
1.1 การขับถ่ายของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวมีทั้งโพรคาริโอต
( prokaryote ) และยูคาริโอต ( eukaryote ) ในพวกโพรคาริโอต ได้แก่ แบคทีเรีย และสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ( bluegreen
algae ) ยังไม่มีออร์แกเนลล์ที่ทำหน้าที่ขับถ่ายโดยเฉพาะ จึงมีแต่การแพร่ออกของของเสีย ซึ่งได้แก่
พวกแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ผ่ายเยื่อหุ้มเซลล์
โพรทิสต์ เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่มีออร์แกเนลล์ซับซ้อนมากกว่าพวกโพรคาริโอต
โดยมีนิวเคลียสที่แท้จริงแล้ว โพรทิสต์ต่าง ๆ อาศัยอยู่ในน้ำ
ของเสียที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้คล้ายกับของพวกโพรคาริโอต
และจะใช้วิธีการเดียวกันคือ การแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ออกไป สำหรับโพรโทซัวที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด
เช่น อะมีบา พารามีเซียม มีออร์แกเนลล์ที่ใช้เก็บน้ำและของเสียเพื่อขับออกนอกเซลล์
นั่นคือมี คอนแทร็กไทล์แวคิวโอล ( contractile vacuole )
ทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำภายในเซลล์
รูปที่ 2 แสดงการเปลี่ยนแปลงคอนแทร็กไทล์แวคิวโอลของพารามีเซียม
โพรโทซัวน้ำจืดอาศัยอยู่ในน้ำที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าในไซโทพลาซึม
น้ำจะออสโมซิสเข้าเซลล์ตลอดเวลา
รวมทั้งโพรโทซัวกินอาหารซึ่งมีน้ำปะปนเข้ามาในเซลล์ด้วย ดังนั้น
โพรโทซัวจะขับน้ำส่วนเกินออกจากเซลล์ทางคอนแทร็กแวคิวโอล โดยกระบวนการดังรูปที่
6.51 เริ่มจากน้ำในไซโทรพลาสซึมแพร่เข้ามาในท่อ
แล้วรวบรวมส่งไปยังคอนแทร็กไทล์แวคิวโอล
เมื่อคอนแทร็กไทล์แวคิวโอลรับน้ำไว้เต็มแล้ว จึงบีบไล่น้ำออกจากแวคิวโอล
โดยการที่แวคิวโอลมาสัมผัสกับเยื่อหุ้มเซลล์ ดังนั้นของเสียที่ปะปนอยู่ในน้ำ
จึงถูกขับถ่ายออกทางคอนแทร็กไทล์แวคิวโอลด้วย
โพรโทรซัวที่อาศัยอยู่ในน้ำเค็มจะขับถ่ายของเสียส่วนใหญ่ออกทางเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง
เพราะไม่มีคอนแทร็กไทล์แวคิวโอล
เนื่องจากแรงดันออสโมติกของน้ำทะเลสูงกว่าแรงดันออสโมติกของโพรโทพลาซึม
น้ำจากเซลล์จะออสโมซิสออกนอกเซลล์อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
1.2 การขับถ่ายของหนอนตัวแบน
พลานาเรีย พวกหนอนตัวแบนที่หากินอิสระ
เช่น พลานาเรียมีอวัยวะขับถ่ายพิเศษ เรียกว่า เฟลมเซลล์ ( flame cell ) ทำหน้าที่กำจัดของเสีย เฟลมเซลล์กระจายอยู่ 2 ข้าง
ตลอดความยาวของลำตัวพลานาเรีย ภายในเฟลมเซลล์เป็นโพรงที่มีซิเลียอยู่ภายใน ของเสียที่เป็นของเหลวในร่างกายถูกพัดโดยซิเลีย
ออกมาสู่ท่อซึ่งยาวตลอดลำตัว และมีรูเปิดอยู่เป็นระยะ ๆ ทั่วตัว
นอกจากนั้นของเสียประเภทแอมโมเนียยังแพร่ออกทางผิวหนังได้ด้วย
http://www.vcharkarn.com/userfiles/102893/1%20(59).jpg
รูปที่ 3 แผนภาพแสดงเฟลมเซลล์อวัยวะขับถ่ายในพลานาเรีย
รูปที่ 4 แสดงส่วนประกอบของเฟลมเซลล์ และท่อขับถ่ายรวมทั้งรูขับถ่าย
1.3 การขับถ่ายของแอนเนลิด
ไส้เดือนดิน ไส้เดือนดินเป็นสัตว์ที่มีระบบหมุนเวียนเลือด
และลำตัวแบ่งเป็นปล้อง ๆ ในแต่ละปล้องมีอวัยวะขับถ่ายแยกกันเป็นอิสระ
อวัยวะขับถ่ายเรียกว่า เนฟริเดียม ( nephridium )
หรือเมตาเฟริเดียม ( metanephridium ) มีอยู่ปล้องละ 1 คู่
เนฟริเดียมมีลักษณะเป็นท่อขดไปมาและมีปลายเปิดทั้งสองด้าน
ด้านหนึ่งอยู่ในช่องว่างภายในลำตัว ( coelom )
ปลายเปิดด้านนี้มีลักษณะคล้ายปากแตรที่มีซิเลียล้อมรอบ เรียกว่า เนโฟรสโตม ( nephostome
) หรือปากท่อของเนฟริเดียม ถัดจากปากแตรเป็นท่อที่มีซิเลียอยู่ภายในและท่อขดไปขดมาตอนปลายของท่อจะพองออกเป็นที่พักของเหลวเรียกว่า ถุง( bladder
) ก่อนขับออกภายนอก ปลายของท่อจะเปิดออกอีกด้านหนึ่งที่ผิวลำตัว
เรียกว่า ช่องเปิดของเนฟริเดียม หรือ เนฟริดิโอพอร์ ( nephridiopore )
เมื่อซิเลียที่ปากแตรพัดโบกจะดูดของเสียพวกแอมโมเนีย
และยูเรียที่ละลายอยู่ในช่องว่างลำตัวเข้ามาตามท่อ รอบ ๆ
ท่อเนฟริเดียมที่ขดอยู่มีหลอดเลือดฝอยพันล้อมรอบสานเป็นตาข่าย
เพื่อดูดซึมน้ำและเกลือแร่ที่มีประโยชน์กลับเข้าเลือด เหลือแต่ของเสียพวกแอมโมเนียและยูเรียถูกลำเลียงเข้าท่อเนฟริเดียมและถูกกำจัดออกไปการเคลื่อนไหวของไส้เดือนดินมีการยืดหดของกล้ามเนื้อลำตัวรวมทั้งการพัดโบกของซิเลียภายในท่อ
ทำให้ของเสียถูกขับออกมาเปิดที่ช่องเปิด ( nephridiopore ) นอกลำตัว
เนฟริเดียมของไส้เดือนดินจึงทำหน้าที่ทั้งกรองของเสียออกไปและดูดกลับสารที่มีประโยชน์เข้าเลือด
รูปที่ 5 เนฟริเดรียมของไส้เดือนดิน แสดงให้เห็นเมื่อผ่าไส้เดือนดินตามยาว
รูปที่
6 แผนภาพแสดงอวัยวะขับถ่ายของไส้เดือนดิน
1.4 การขับถ่ายของอาร์โทรพอด
อาร์โทพอด อาร์โทพอดมีเปลือกแข็งหุ้มลำตัว
ทำให้ป้องกันน้ำเข้าออกร่างกายได้ดี อาร์โทพอดมีอวัยวะขับถ่ายที่แตกต่างกันออกไป
เช่น แมลง มีอวัยวะขับถ่ายของเสีย เรียกว่า ท่อมัลพิเกียนทิวบูล ( Mulpighian
tubule ) กุ้งมีอวัยวะขับถ่ายเรียกว่า แอนเทนนัล แกลนด์ ( antennal
gland ) เป็นต้น
แมลง มีท่อมัลพิเกียน
ที่ประกอบด้วยท่อขนาดเล็ก
จำนวนมากยื่นออกมาจากทางเดินอาหารช่วงต่อระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้
เนื่องจากลำตัวของแมลงมีเลือดไหลผ่านได้ เพราะเลือดแมลงเป็นระบบเปิด
ปลายท่อมัลพิเกียนจึงลอยอยู่ในช่องว่างลำตัวที่เลือดไหลผ่านหรือฮีโมลิมฟ์
( hemolymph ) ในเลือดมีของเสียปะปนอยู่ด้วย ของเสียเหล่านั้นสามารถลำเลียงส่งเข้าท่อมับพิเกียนได้ แล้วจึงถูกส่งเข้าสู่ลำไส้ ของเสียที่เป็นสารประกอบไนโตรเจนจะถูกเปลี่ยนให้เป็นกรดยูริก ( uric acid ) ขณะเดียวกันจะมีเซลล์บางกลุ่มอยู่ที่ทางเดินอาหารส่วนไส้ตรงทำหน้าที่ดูดน้ำ และสารบางอย่างที่มีประโยชน์กลับเข้าฮีโมลิมฟ์ ของเสียที่ถูกปล่อยออกมาจึงอยู่ในสภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถูกขับออกนอกร่างกายพร้อมกากอาหาร
( hemolymph ) ในเลือดมีของเสียปะปนอยู่ด้วย ของเสียเหล่านั้นสามารถลำเลียงส่งเข้าท่อมับพิเกียนได้ แล้วจึงถูกส่งเข้าสู่ลำไส้ ของเสียที่เป็นสารประกอบไนโตรเจนจะถูกเปลี่ยนให้เป็นกรดยูริก ( uric acid ) ขณะเดียวกันจะมีเซลล์บางกลุ่มอยู่ที่ทางเดินอาหารส่วนไส้ตรงทำหน้าที่ดูดน้ำ และสารบางอย่างที่มีประโยชน์กลับเข้าฮีโมลิมฟ์ ของเสียที่ถูกปล่อยออกมาจึงอยู่ในสภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถูกขับออกนอกร่างกายพร้อมกากอาหาร
รูปที่ 7 แสดงท่อมัลพิเกียนของแมลง และอวัยวะที่ใกล้เคียง
รูปที่ 8 แสดงแอนเทนนัลแกลนด์ ของกุ้ง และท่อมัลพิเกียนของแมลง
ครัสเตเซียน
สัตว์พวกครัสเตเซียน เช่น กุ้ง มีอวัยวะขับถ่าย เรียกว่า ต่อมแอนเทนนัล ( antennal gland ) หรือ ต่อมเขียว ( Green
gland ) มีอยู่ 1 คู่ อยู่ที่หัว
มักอยู่ที่ฐานของหนวด ( antenna
) ต่อมแอนเทนนัลของกุ้งทำหน้าที่กรองของเสียประเภทสารประกอบไนโตรเจนออกจากเลือด
โดยของเหลวจากฮีโมลิมฟ์ถูกกรองเข้าสู่ถุงในช่องว่างลำตัว ( coelomic sac ) และของเสียจะผ่านไปตามท่อ ( excretory duct หรือ tubule
) ตอนปลายของท่ออาจพองเป็นกระเปาะ ( bladder )
ก่อนปล่อยออกนอกร่างกายทางรูขับถ่าย ( excretory pore )
1.5 การขับถ่ายของนกและสัตว์เลื้อยคลาน
สัตว์บกส่วนใหญ่มักมีปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียน้ำผ่านทางผิวหนัง
สัตว์เหล่านั้นจึงมีกระบวนการป้องกัน เช่น มีผิวหนังเป็นเกล็ดหนา หรือมีขนปกคลุม
สัตว์เลื้อยคลานและนกมีไต ( kidney
) เป็นอวัยวะขับถ่ายที่ทำให้สูญเสียน้ำน้อยกว่าปกติได้
โดยการเปลี่ยนของเสียประเภทแอมโมเนียให้เป็น กรดยูริก
ที่เป็นสารกึ่งของเหลวซึ่งละลายน้ำได้น้อย คล้ายกับแมลง
ในระยะเอ็มบริโอสัตว์เลื้อยคลานและนกยังอยู่ในไข่
มีการขับถ่ายของเสียออกมาใจรูปของกรดยูริกเก็บสะสมไว้ในถุงแอลแลนทอยส์ ( allantois
) จนกระทั่งเอ็มบริโอฟักออกมาเป็นตัว
ในจิ้งจกเวลาขับถ่ายของเสียออกมาจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีสองส่วนคือ
ส่วนสีดำและส่วนสีขาว ส่วนสีดำคือกากอาหารและส่วนสีขาวคือกรดยูริก
การขับถ่ายของเสียออกมาในรูปกรดยูริก
เป็นการสงวนน้ำ เนื่องจากสัตว์เหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยได้ดื่มน้ำ
2. การขับถ่ายของคน
สัตว์มีกระดูกสันหลัง
( ซึ่งรวมทั้งคนด้วย ) มีอวัยวะขับถ่ายคือ ไต มีอยู่ 1 คู่
อยู่ในช่องท้องสองข้างของกระดูกสันหลังระดับเอว ไตมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว
กว้างประมาณ 6 เซนติเมตร
ยาวประมาณ 10 – 13 เซนติเมตร หนาประมาณ
3 เซนติเมตร
แต่ละข้างของไตหนักประมาณ 150
กรัม มีท่อไต ( ureter ) 2 ท่อ
ต่อจากไตแต่ละข้างทำหน้าที่ลำเลียงน้ำปัสสาวะจากไตส่งไปเก็บที่กระเพาะปัสสาวะ ( urinary
bladder ) ก่อนจะปล่อยออกนอกร่างกายทางท่อปัสสาวะ ( urethra )
รูปที่ 9 แผนภาพแสดงอวัยวะขับถ่ายของคน
ก. อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับปัสสาวะ ข. ผ่าไตออกตามยาว
โครงสร้างและการทำงานของไต
ไตมีอยู่ 2 อัน
ฝังติดกับกล้ามเนื้อช่องท้อง ในสัตว์มีกระดูกสันหลังมีไตรูปร่างแตกต่างกัน เช่น
ไตปลา ไตกบ มีรูปร่างยาว ไตคนมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว
ถึงแม้ว่าไตจะมีรูปร่างต่างกันในสัตว์มีกระดูกสันหลัง แต่มีหน่วยไต ( nephron
) เป็นส่วนประกอบเหมือนกัน
หน่วยไตทำหน้าที่ และมีลักษณะคล้ายกับเนฟริเดีย ( nepphridia ) ของไส้เดือนดิน ที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบหมุนเวียนเลือด
โดยได้รับของเสียจากเนื้อเยื่อ จากการนำของระบบหมุนเวียนเลือด แต่ในสัตว์มีกระดูกสันหลังมีที่รวมของเสียมาเปิดทิ้งไว้ในบริเวณเดียว
แต่ในไส้เดือนดินมีที่เปิดทิ้งแต่ละปล้องของลำตัว
เมื่อนำไตมาผ่าตามยาว
จะพบว่ามีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น ชั้นนอกเรียกว่า คอร์เทกซ์ ( cortex ) ส่วนชั้นในเรียกว่า เมดัลลา ( medulla ) ดังรูปที่ 6.58 ข และ 6.59
รูปที่ 10 แผนภาพแสดงส่วนประกอบของไตคน
ชั้นคอร์เทกซ์
เนื้อมีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ เมื่อขยายดูเป็นกลุ่มของหลอดเลือดฝอยที่เรียกว่า
โกลเมอรูลัส ( glomerulus ) และถุงโบว์แมนส์แคปซูล ( Bowman
s capsule ) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการกรองของเสียออกจากเลือดและท่อของหน่วยไตตอนต้นและตอนปลาย
รูปที่ 11 แผนภาพแสดงส่วนประกอบของไตคน
ชั้นเมดัลลา
ชั้นนี้เป็นส่วนของหลอดเล็ก ๆ ที่ต่อมาจากชั้นคอร์เทกซ์
ท่อเหล่านี้รวมกันอยู่เป็นหมู่รูปร่างคล้ายฝาชี เรียกว่า พิรามิด ( renal
pyramid ) ปลายของปิรามิดเป็นยอดแหลมนั้นคือที่รวมของหลอดเล็ก ๆ
เรียกยอดแหลมนั้นว่า พาพิลลา ( renal papilla )
ซึ่งเปิดเข้าสู่ไมเนอร์เคลิกซ์ ( minor
calyx ) หลาย ๆ ไมเนอร์เคลิกซ์รวมกันเป็นเมเจอร์เคลิกซ์ (major
calyx) จากเมเจอร์เคลิกซ์นำไปสู่บริเวณที่มีลักษณะเป็นกรวย
เรียกกันว่า กรวยไต ( pelvis ) ซึ่งเป็นที่ส่งน้ำปัสสาวะลงไปสู่ท่อไต
( ureter ) นำไปสู่กระเพาะปัสสาวะอีกต่อหนึ่ง
โครงสร้างของเนฟรอนหรือหน่วยไต
เนฟรอนหรือหน่วยไต
( nephron ) ทำหน้าที่ในการกรองของเสียออกจากเลือด
และดูดกลับสารที่มีประโยชน์เข้าเลือด ในไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยไต ประมาณ 1.2
ล้านหน่วย
เนฟรอนแต่ละหน่วยประกอบด้วย
1) โกลเมอรูลัส
( glomerurus )
เป็นกลุ่มหลอดเลือดฝอยพันกันเป็นก้อนกลม เป็นหลอดเลือดที่พาสารต่าง ๆ มากรองออก
หลอดเลือดฝอยโกลเมอรูลัสนี้แยกมาจากหลอดเลือดแดงอาฟเฟอเรนต์อาร์เทอริโอล ( afferent
arteriole ) ซึ่งเป็นแขนงย่อยแยกจากรีนัลอาร์เทอร์รี ( renal
artery ) อีกทีหนึ่ง หลอดเลือดฝอยนี้
เมื่อออกจากโกลเมอรูลัสจะรวมเป็นหลอดเลือดแดงเอฟเฟอเรนต์อาร์เทอร์ริโอล ( afferent
arteriole ) แล้วแตกแขนงเป็นร่างแหคลุมท่อของหน่วยไตส่วนพรอกซิมอล
และส่วนดิสตอล เรียกว่า หลอดเลือดฝอย เพอริทิวบูลาร์ ( peritubular
capillaries )
นอกจากนี้หลอดเลือดฝอยเหล่านี้ยังแผ่ลงไปคลุมห่วงเฮเล
โดยหลอดเลือดฝอยจะโค้งขนานกันไปกับห่วงเฮนเล เรียกหลอดเลือดฝอยนี้ว่า วาซาเรกตา ( vasa
recta ) หลังจากนี้หลอดเลือดฝอยเล่านี้จะรวมกันออกมาเป็นหลอดเลือดดำ
ส่งไปยังรีนัลเวน ( renal vein )
2) โบว์แมนส์แคปซูล ( Bowman s capsule ) เป็นส่วนของท่อหลอดไตที่พองออกเป็นกระเปาะคล้ายถ้วย
ล้อมรอบกลุ่มหลอดเลือดฝอยโกลเมอรูลัสไว้ โบว์แมนแคปซูลประกอบด้วยผนังบาง ๆ 2 ชั้น
ผนังหลอดเลือดฝอยโกลเมอรูลัสจะแนบชิดกับเยื่อชั้นในของโบว์แมนแคปซูล ช่องว่างระหว่างเยื่อ
2 ชั้นของโบว์แมนแคปซูล เรียกว่า ช่องว่างภายในแคปซูล ( Intracapsular
space ) ช่องว่างนี้ติดต่อกับส่วนที่เป็นท่อของหน่วยไต ( convoluted
tubule )
3) ท่อของหน่วยไต (
Renal tubule หรือ convoluted tubule )
ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
3.1 ท่อขดส่วนต้น
หรือ พรอกซิมอล คอนโวลูเตด ทิวบูล ( proximal convolutrd tubule )
มีลักษณะเป็นท่อขดไปมาเป็นบริเวณที่มีการดูดซึมสารกลับเข้ากระแสเลือดได้มากที่สุด
( ราว 65 % ) ซึ่งเกิดขึ้นทั้งโดยวิธีแอกทีฟทรานสปอร์ต และพาสซีฟทรานสปอร์ต
3.2 ห่วงเฮเลน
หรือ เฮนเลส์ลูป ( Henle s loop ) เป็นหลอดโค้งรูปตัวยู อยู่ถัดจากท่อขดส่วนต้น
เฮนเลส์ลูปยื่นเข้ามาในเนื้อไตส่วนเมดัลลา
3.3
ท่อขดส่วนท้าย หรือ ดิสตอล คอนโวลูเตด ทิวบูล ( distal convoluted
tubule ) เป็นท่อขดไปมาคล้ายท่อขดส่วนต้น
อยู่ถัดจากห่วงเฮนเลเข้ามาในเนื้อไตชั้นคอร์เทกซ์
ตอนปลายของท่อขดส่วนท้าย
จะเปิดเข้าสู่ท่อรวม หรือคอลเลกติง ดักท์ ( collecting
duct ) หรือ คอลเลกติงทิวบูล ( collecting
tubule ) ต่อจากนั้นจะเปิดออกสู่กรวยไต ( pelvis
) และส่งไปยังท่อไต ( ureter )
เพื่อนำน้ำปัสสาวะไปเก็บที่กระเพาะปัสสาวะ เพื่อรอเวลาขับถ่ายทิ้งไป ทั้งท่อขดส่วนต้นและท่อขดส่วนท้าย
ส่วนใหญ่อยู่ในชั้นคอร์เทกซ์ แต่ห่วงเฮนเลและท่อรวมอยู่ในชั้นเมดัลลา
รูปที่ 12 แสดงตำแหน่งเนฟรอนที่อยู่ในไต
รูปที่ 13 โครงสร้างของเนฟรอนหรือหน่วยไต
หลอดเลือดที่นำเลือดเข้าสู่ไตนั้น
คือ รีนัลอาร์เทอรี ( renal artery )รับของเสียที่เกิดจากเมแทบอลิซึมของเซลล์ทั่วร่างกายปะปนมาด้วย
เมื่อหลอดเลือดนี้เข้าไตจะแตกแขนงเป็นอาร์เทอริโอล ( arteriole ) และเป็นหลอดเลือดฝอยซึ่งแต่ละเส้นจะขดเป็นโกลเมอรูลัส
อยู่ในโบว์แมนส์แคปซูล เลือดในโกลเมอรูลัสจะถูกกรองโดยใช้ผนังหลอดเลือดฝอยทำหน้าที่เป็นเยื่อกรอง
โดยมีแรงดันเลือดและประสิทธิภาพของหลอดเลือดฝอยเป็นตัวทำให้เกิดการกรอง
แทนที่จะใช้แรงดึงดูดของโลกเป็นตัวทำให้เกิดการกรอง เช่น
ในกระดาษกรองทำให้ของเหลวหลายชนิดออกมาสู่โบว์แมนส์แคปซูลได้ ของเหลวเหล่านี้
ได้แก่ สารประกอบโมเลกุลเล็ก ของเหลวที่ผ่านออกมาสู่ท่อของหน่วยไตเรียกว่า
ของเหลวที่กรองได้ ( glomerular filtrate )
ของเหลวที่ผ่านออกมานี้ คำนวณแล้วได้ประมาณวันละ 180 ลิตร เป็นอย่างต่ำ
หากร่างกายปล่อยของเหลวทั้งหมดนี้ทิ้งไป ร่างกายคงต้องขาดน้ำในปริมาณมาก
รวมทั้งต้องสูญเสียเกลือแร่บางชนิดออกไปด้วย
แต่ในความเป็นจริงแล้วร่างกายเสียน้ำออกมาในรูปของน้ำปัสสาวะเพียงวันละประมาณ 1.5
ลิตรเท่านั้นเอง
เพราะส่วนหนึ่งของของเหลวที่กรองออกจากโกลเมอรูลัสเมื่อออกไปตามท่อของหน่วยไตก็จะถูกหลอดเลือดฝอยที่ออกมาจากโกลเมอรูลัส
ออกมาสานเป็นตาข่ายเอาไว้ดูดกลับเข้าสู่น้ำเลือด ดังรูปที่ 6.62 วันหนึ่ง ๆ
น้ำถูกดูดกลับถึง 90 % เหลือปล่อยออกมาเป็นน้ำปัสสาวะเพียงประมาณ 10 %
ยิ่งท่อของหน่วยไตยาวการดูดกลับยิ่งมีมากขึ้น มีพบว่าในหนูทะเลทราย ( kangaroo
rat ) ท่อของหน่วยไตโดยเฉพาะบริเวณ เฮนเลส์ ลูป ( Henle s
loop ) ยาวมาก หนูเหล่านี้ไม่มีการดื่มน้ำเลยตลอดชีวิต
แต่ใช้น้ำที่ปะปนเข้าไปกับอาหาร และน้ำที่เกิดจากเมแทบอลิซึมอาหาร
ก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้ แสดงว่าการดูดน้ำกลับ
ที่ท่อของหน่วยไตในหนูเหล่านี้เกิดมาก
หน้าที่การทำงานของหน่วยไต
หน่วยไต ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด
และกำจัดออกเป็นน้ำปัสสาวะ กระบวนการเกิดน้ำปัสสาวะเกิดจาก 3 กระบวนการคือ
1) การกรองที่โกลเมอรูลัส ( Glomerulus filtration ) เกิดจากการกรองของเสียออกที่โกลเมอรูลัส
ซึ่งเป็นหลอดเลือดฝอยที่อยู่ในโบว์แมนส์แคปซูล ผนังหลอดเลือดฝอยโกลเมอรูลัสจะยอมให้สารโมเลกุลเล็กผ่านไปได้พร้อมกับน้ำ
การกรองผ่านโกลเมอรูลัสเกิดจากแรงดันเลือดดันของเหลวจากหลอดเลือดฝอยผ่านเยื่อบุผิวของโบว์แมนส์แคปซูล
เข้าสู่ช่องว่าง ( lumen ) ของโบว์แมนส์แคปซูล
และเข้าสู่ท่อของหน่วยไต
การกรองสารจะเกิดขึ้นผ่านเยื่อบุ
3 ชั้น คือ
- ก. ผนังของหลอดเลือดฝอยโกลเมอรูลัส ( endothelial cell of capillary ) ซึ่งมีรูขนาด 60 – 100 นาโนเมตร จึงป้องกันไม่ให้เซลล์เม็ดเลือดผ่านไปและยอมให้สารขนาดเล็กผ่านไปโดยการแพร่
- ข. ชั้นเบสเมนต์เมมเบรน ( basement membrane ) ของโกลเมอรูลัสหรือเรียกว่า ลามินาเดนซา ( lamina densa ) หรือเบซิลลามินา ( basal lamina ) เป็นตัวกรองสารโปรตีนขนาดใหญ่ไว้ จึงช่วยจำกัดผ่านของโปรตีนขนาดใหญ่
- ค. เยื่อบุผนังของโบว์แมนส์แคปซูล ( epithelial cell of Bowman s capsule ) ซึ่งมีเซลล์พิเศษ คือ โพโดไซต์ ( podocyte ) ช่วยเลือกสารที่จะกรองผ่าน
ทั้งผนังหลอดเลือดฝอยโกลเมอรูลัส
และเซลล์ที่เยื่อบุผนังโบว์แมนส์แคปซูล จะประกอบกันเป็น เยื่อกรอง ( filtration
membrane ) เซลล์โพโดไซต์
ซึ่งประกอบกันเป็นเยื่อบุโบว์แมนส์แคปซูล
ซึ่งสัมผัสกับหลอดเลือดฝอยนั้นมีการแตกกิ่งก้านเป็นจำนวนมากคล้ายนิ้วมือ
อาจเรียกว่า ฟูตโพรเซส ( food processes ) หรือเพดิเซล ( pedicel ) เพดิเซลจะปกคลุมอยู่ที่ผิวหลอดเลือดฝอยส่วนใหญ่
ช่องระหว่างฟูตโพรเซสเป็นช่องเล็ก ๆ เรียกว่า ฟิลเตรชันสลิต ( filtration
slits ) หรือ ช่องสลิต ( slit
pore ) จึงเป็นตัวกรองของเหลวออกจากเลือด
รูปที่ 14 แสดงเยื่อในการกรองที่โกลเมอรูลัส
เยื่อกรองจะยอมให้ของเหลวและสารโมเลกุลเล็ก
ๆ ที่ละลายในพลาสมาผ่านออกมาได้ ได้แก่ น้ำ กลูโคส กรดอะมิโน วิตามิน เกลือแร่
เช่น โซเดียม โพแทสเซียม คลอไรด์ ไบคาร์บอเนต และยูเรีย
แต่ไม่ยอมให้สารโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตีน ไขมัน และเม็ดเลือดผ่านออกมาได้
ของเหลวที่กรองผ่านโกลเมอรูลัสออกมา เรียกว่า ของเหลวที่กรองได้
หรือโกลเมอรูลาร์ฟิตเตรต ( Glomerular filtrate )
ซึ่งมีองค์ประกอบคล้ายพลาสมาในเลือด ยกเว้น ไม่มีเม็ดเลือด โปรตีนและไขมัน
2) การดูดกลับที่ท่อของหน่วยไต ( Tubular reabsorption ) ของเหลวที่กรองผ่านโกลเมอรูลัสวันละ
180 ลิตร
ถูกดูดกลับเข้ากระแสเลือดถึง 99 % เหลือเป็นน้ำปัสสาวะทิ้งไปวันละ 1.5 ลิตร
เซลล์เยื่อบุผิวที่ท่อของหน่วยไต
มีบทบาทในการดูดสารกลับ เนื่องจาก มีไมโครวิลไล ( microvilli )
จำนวนมากเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึม และยังมีไมโทคอนเดรียมากเพื่อให้พลังงานในการดูดกลับแบบแอกทีฟ
ทรานสปอร์ต
·
ที่พรอกซิมอลทิวบูล
มีการดูดกลับมากที่สุด ประมาณ 65 % ของของเหลวที่กรองได้
·
การดูดกลับที่พรอกซิมอลทิวบูล
ได้แก่ สารอาหารพวกกลูโคส กรดอะมิโน และวิตามิน และดูดกลับ NaCl ทั้งสารอาหารและ NaCl ถูกดูดกลับแบบแอกทีฟทรานสปอร์ต
ส่วนน้ำ K+ และ HCO-3 ดูดกลับแบบพาสซีฟทรานสปอร์ต
·
การดูดกลับที่ห่วงเฮนเลส่วนวกลง ( descending
limp of loop of henle ) ดูดน้ำกลับโดยวิธีออสโมซิส
·
การดูดกลับที่ห่วงเฮนเลนส่วนวกขึ้น
(ascending limp of loop of henle ) ดูดกลับ NaCl ทั้งแบบพาสซีฟทรานสปอร์ต
และแอกทีฟทรานสปอร์ต
·
การดูดกลับที่ดิสตอลทิวบูล
มีการดูดกลับน้ำ แบบพาสซีฟทรานสปอร์ต โดยการแพร่ ส่วน NaCl และ HCO-3 ดูดกลับแบบแอกทีฟทรานสปอร์ต
·
การดูดกลับที่ท่อรวม
มีการดูดกลับน้ำโดยออสโมซิส และยอมให้นำยูเรียผ่านออกโดยการแพร่
การดูดสานบางอย่างกลับเข้ากระแสเลือด
ถูกควบคุมโดยฮอร์โมนได้แก่ ฮอร์โมนแอลโดล
เตอรโรน ( aldosterone ) ซึ่งหลั่งจากชั้นคอร์แทกซ์ของต่อมหมวกไต
ฮอร์โมนนี้ไปกระตุ้นดิสตอลทิวบูล และท่อรวม ให้เพิ่มการดูดน้ำและ Na+
กลับคืนเลือดมากขึ้น ทำให้ปริมาตรเลือดและความดันเลือดเพิ่มขึ้น
การหลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน
ถูกกระตุ้นจากความดันเลือดลดลง เมื่อความดันเลือดลดลง เซลล์ของจักซ์ตาโกลเมอรูลาร์คอมเพล็กซ์
( Juxtaglomerular complex ) ( ซึ่งอยู่บริเวณหลอดเลือดแดงอาฟเฟอเรนต์อาร์เทอริโอล
ที่นำเลือดเข้ามายังโกลเมอรูลัส มาสัมผัสกับดิสตอลทิวบูล ) จะหลั่งเอนไซม์ เรนิน
( renin )
ออกมากระตุ้นการเปลี่ยนพลาสมาโปรตีน คือ แองจิโอเทนซิโนเจน ( angiotensinogen
) ให้เป็นแองจิโอเทนซิน II ( angiotensin
II ) แล้วแองจิโอเทนซิน II จึงไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน
3) การหลั่งสารที่ท่อของหน่วยไต ( Tubular secretion ) มีสารบางชนิดที่หลั่ง ( secrete ) จากเลือดเข้าสู่ฟิลเตรต หรือของเหลวที่กรองได้ในทิวบูล
·
ที่พรอกซิมอลทิวบูล
มีการหลั่งสารได้แก่ H+
, K+ , NH4
การหลั่ง H+ เพื่อรักษาระดับ pH ในของเหลวในร่างกายให้คงที่
การหลั่ง K+
เกิดเมื่อความเข้มข้นของ K+ สูงเกินไป
เพราะจะทำให้การส่งกระแส
ประสาทบกพร่อง
และความแรงในการหดตัวของกล้ามเนื้อลดลง
·
ที่ดิสตอลทิวบูล มีการหลั่งสาร
ได้แก่ H+ , ยาบางชนิด เช่น
เพนิซิลลิน และยาพิษ
-
การหลั่ง K+ เพื่อควบคุมระดับความเข้มข้นของ K+ และ Na+ ในร่างกาย โดยแปรผันการหลั่ง K+ และการดูดกลับ Na+
-
การหลั่ง H+ เพื่อควบคุม pH ในเลือด โดยควบคุมการหลั่ง H+ และ การดูดกลับ HCO-3
รูปที่ 15 แสดงรายละเอียดของการทำงานของหน่วยไต
ในการกรองสาร filtrate การดูด
สารกลับ ( reabsorption )
รวมทั้งการหลั่งสารบางชนิด ( secretion )
รูปที่ 16 แผนภาพแสดงการดูดกลับของสารและการหลั่งสารที่ส่วนต่าง ๆ ของท่อหน่วย
ไต ก. ส่วนรูป ข. แสดงให้เห็นถึงหลอดเลือดฝอยสานตัวเป็นร่างแหตลอดท่อ
ของหน่วยไตเพื่อดูดสารต่าง ๆ
กลับเข้าหลอดเลือด
ตารางแสดงสารที่กรองได้ผ่านโกลเมอรูลัส
สาร
|
ปริมาณ ( g / 100 cm3 )
|
น้ำ
โปรตีน
ยูเรีย
กรดยูริก
แอมโมเนีย
กลูโคส
โซเดียม
คลอไรด์
ซัลเฟต
|
90 – 93
0.01 – 0.02
0.03
0.003
0.0001
0.1
0.32
0.37
0.003
|
จากตารางแสดงสารที่กรองได้ผ่านโกลเมอรูลัส
จะเห็นว่าโกลเมอรูลัสกรองสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
สารที่กรองได้นี้ถ้าผ่านไปยังโบว์แมนส์แคปซูล และถูกกำจัดออกไปทั้งหมด
ร่างกายจะสูญเสียสารที่มีประโยชน์ไปหลายชนิด แต่ในความเป็นจริง
คนที่มีไตทำงานปกติจะสูญเสียสารที่มีประโยชน์ออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะเมื่อสารที่กรองได้ผ่านมายังท่อของหน่วยไต จะถูกดูดกลับเข้าหลอดเลือดฝอยที่หน่วยไต
การดูดกลับมีทั้งกระบวนการที่ไม่ใช้พลังงาน เช่น การดูดน้ำ และกระบวนการที่ต้องใช้พลังงานโดยกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต
ได้แก่ การดูดกลับกลูโคส กรดอะมิโน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเข้ากระแสเลือด
ส่วนสารอื่น ๆ จะปะปนไปกับน้ำปัสสาวะ
ท่อของหน่วยไตสามารถดูดกลับสารบางอย่างที่กรองได้กลับคืนเข้าสู่หลอดเลือดฝอยในปริมาณดังนี้
สาร
|
สารที่กรองได้
|
%
การดูดกลับของสาร
|
น้ำ
กลูโคส
โซเดียม
ยูเรีย
|
99
100
99.5
44
|
ไตนอกจากจะทำหน้าที่กำจัดของเสียแล้ว
ยังควบคุมสมดุลของแร่ธาตุกับสารต่าง ๆ ในร่างกาย อีกทั้งสมดุลของน้ำด้วย
ตารางเปรียเทียบสารในของเหลวที่กรองผ่านโกลเมอรูลัสได้กับน้ำปัสสาวะ
สาร
|
ของเหลวที่กรองได้
( g/100 cm3 )
|
น้ำปัสสาวะ ( g/100 cm3
)
|
น้ำ
โปรตีน
ยูเรีย
กรดยูริก
แอมโมเนีย
กลูโคส
โซเดียม
คลอไรด์
ซัลเฟต
|
90 – 93
0.01 – 0.02
0.03
0.003
0.0001
0.1
0.32
0.37
0.003
|
95
0
2
0.05
0.05
0
0.6
0.6
0.15
|
จากตารางจะเห็นได้ว่า
ในแต่ละวันร่างกายคนเรากำจัดสารต่าง ๆ ออกจากร่างกาย เช่น น้ำ แอมโมเนีย ยูเรีย
กรดยูริก โซเดียม คลอไรด์ และซัลเฟต
สารที่พบในของเหลวที่กรองได้ แต่ไม่พบในปัสสาวะ ได้แก่ กลูโคสและโปรตีน
สารที่พบได้ในน้ำปัสสาวะและยังมีความเข้มข้นสูงกว่าในของเหลวที่กรองได้ คือ ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก โซเดียม คลอไรด์ ซัลเฟต
เหตุที่ปริมาณแร่ธาตุในน้ำปัสสาวะ
และในของเหลวที่กรองได้แตกต่างกันไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับยูเรีย คือ
แร่ธาตุเหล่านั้นมีประโยชน์ต่อร่งกาย หน่วยไตจึงดูดกลับเข้าสู่หลอดเลือด
แต่ยูเรียเป็นของเสียที่เกิดจากกระบวนการเมแทบอลิซึม ทำให้ร่างกายต้องกำจัดทิ้งไป
เหตุที่ปริมาณยูเรียในน้ำปัสสาวะแลในของเหลวที่กรองได้มีความแตกต่างกันมาก
เพราะยูเรียเป็นของเสียที่เกิดจากกระบวนการเมแทบอลิซึมร่างกายจึงกำจัดออกทางปัสสาวะ
จากข้อมูลในตารางจะเห็นได้ว่าในน้ำปัสสาวะมีสารหลายชนิดที่มีความเข้มข้นสูงกว่าความเข้มข้นสูงกว่าในของเหลวที่กรองได้
สารต่าง ๆ เหล่านี้ คือ ของเสียที่ร่างกายต้องกำจัดทิ้งไป
ซึ่งจะเห็นได้จากตัวอย่างของยูเรียคนมีความเข้มข้นสูงกว่าในของเหลวที่กรองได้ถึง
60 เท่า
เหตุที่สัตว์กินเนื้อมีปริมาณยูเรียในน้ำปัสสาวะสูงกว่าสัตว์กินพืชเพราะเมื่อเนื้อสัตว์ถูกย่อยจะกลายเป็นกรดอะมิโน
แล้วถูกดึง – NH2 ออกมารวมกับ CO2 กลายเป็นยูเรีย ซึ่งสัตว์กินพืชได้รับแต่คาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่เมื่ถูกย่อยแล้วของเสียที่ออกมาจึงไม่ใช่ยูเรีย
ที่ท่อของหน่วยไตนอกจากดูดน้ำกลับแล้ว
ยังดูดสารอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับร่างกายกลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดอีก เช่น
กลูโคส กรดอะมิโนและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็น การดูดกลับนี้ใช้กระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต
ซึ่งมีการใช้พลังงาน
เนื่องจากเป็นการนำสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นมากกว่า
นอกจากนั้นหน่วยไตยังหลั่งสารบางชนิด เช่น K+ และ H+
เพื่อปรับความสมดุลของความเป็นกรดเบสในร่างกายด้วย
รูปที่ 17 แสดงการทำงานของหน่วยไต
ในการกรองสาร การดูดสารกลับ รวมทั้งการหลั่ง
สารบางชนิด
ส่วนประกอบของเลือดในหลอดเลือดเข้าไต
กับหลอดเลือดที่ออกจากไต
มีความแตกต่างกันที่เลือดในหลอดเลือดเข้าไตมีของเสียปนอยู่มากกว่าเลือดในเส้นเลือดที่ออกจากไต
ไตกับการรักษาสมดุลของน้ำ
ถ้าร่างกายได้รับน้ำย่อย
หรือมีน้ำในเลือดน้อย จะทำให้ปริมาตรของเลือดลดลง ความเข้มข้นของเลือดจึงเพิ่มขึ้น
ทำให้แรงดันออสโมติกของเลือดสูงขึ้น ตัวรับรู้ ( receptor )
ในไฮโพทาลามัสที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงแรงดันออสโมติกจะกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนท้าย
ให้ปล่อยฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก ( antidiruetic hormone , ADH ) หรือ เอดีเอชออกมาเข้าสู่กระแสเลือด
และส่งไปยังท่อของหน่วยไตส่วนดิลตอลทิวบูลและท่อรวม
ทำให้เกิดการดูดน้ำกลับเข้าเลือดมากขึ้น ทำให้ปริมาตรของเลือดเพิ่มขึ้น
และลดแรงดันออสโมติกของเลือดพร้อมกับขับถ่ายปัสสาวะออกน้อยลง
ในกรณีดื่มน้ำมาก
เลือดเจือจาง แรงดันออสโมติกของเลือดลดลงจะยับยั้งการปล่อย ADH จากต่อมใต้สมองส่วนท้าย ทำให้ดิสตอลทิวบูลและท่อรวมดูดน้ำกลับคืนน้อยลง
ทำให้ขับปัสสาวะที่เจือจางออกไปมาก
ในกรณีที่ต่อมใต้สมองทำงานผิดปกติ
มาสามารถปล่อย ADH ออกมาอย่างเพียงพอ
จะทำให้การดูดน้ำกลับของหน่วยไต เกิดได้น้อยกว่าปกติ หรือไม่สามารถดูดกลับได้
ทำให้ขับถ่ายปัสสาวะมากกว่าปกติ ที่เรียกว่าโรคเบาจืด ( diabetes insipidus
) อาจถ่ายปัสสาวะถึงวันละ 20 ลิตร คนไข้จึงต้องดื่มน้ำมากกว่าปกติ
เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป
ร่างกายอาจสูญเสียน้ำได้ทางอื่นอีก
เช่น การระเหยทางเหงื่อ หรือการหายใจ ถ้าหากร่างกายไม่ได้รับน้ำเข้าไปทดแทน
อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น
จึงมีกลไกกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความต้องการน้ำเพิ่มขึ้น
นอกเหนือจากกลไกที่ลดการสูญเสียน้ำ
กลไกที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดความต้องการน้ำ
ในขณะที่สูญเสียน้ำออกไปจากร่างกายมาก ๆ หลังเล่นกีฬา หรือเสียเหงื่อ
คือความรู้สึก กระหายน้ำและจะรู้สึกกระหายน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าร่างกายสูญเสียน้ำออกไปเรื่อย ๆ
อาการกระหายน้ำจึงเป็นสัญญาณเตือนให้ทราบว่าร่างกายต้องการน้ำ โดยมี ศูนย์ควบคุมการกระหายน้ำอยู่ที่ไฮโพทาลามัส
ซึ่งจะรับรู้ต่อภาวการณ์ขาดน้ำของร่างกาย เมื่อไฮโพทาลามัสถูกกระตุ้น
จึงเกิดอาการกระหายน้ำขึ้น กลไกการควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย แสดงไว้ในรูปที่ 18
รูปที่ 18 การควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย
ในกรณีที่ดื่มน้ำทะเลหรือกินเกลือเข้าไปมาก
ๆ ทำให้แรงดันออสโมติกของเลือดสูงต่อมใต้สมองส่วนท้ายจะหลั่ง ADH
ออกมามากขึ้นเพื่อไปควบคุมทำให้ท่อของหน่วยไตดูดน้ำกลับคืนมามากขึ้นเพื่อให้ปริมาณน้ำในเลือดมากเป็นปกติแรงดันออสโมติกของเลือดจึงลดลงเป็นปกติ
นอกจากท่อของหน่วยไตจะดูดน้ำกลับเข้าหลอดเลือดแล้วยังสามารถดูดสารอื่น
ๆ กลับเข้าหลอดเลือดได้อีกด้วยโดยการควบคุมของฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน ( aldossterone
) จากต่อมหมวกไต ( adrenal gland )
รูปที่ 19 แสดงการควบคุมการทำงานของไตโดยอาศัยฮอร์โมน
การหลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน
ถูกกระตุ้นจากความดันเลือดที่ลดลงหรือความเข้มข้นของ Na+ ต่ำลง เมื่อความดันเลือดลดลงหรือความเข้มข้นของ Na+ ลดลง เซลล์ของจักซ์ตาโกลเมอรูลาร์ แอพพาราตัส ( Juxtaglomerular
apparatus , JGA )
ซึ่งอยู่บริเวณหลอดเลือดแดงอาฟเฟอเรนต์อาร์เทอริโอล
ที่นำเลือดเข้ามายังโกลเมอรูลัส จะหลั่งเอนไซม์เรนิน ( rennin ) ออกมากระตุ้นการเปลี่ยนแองจิโอเทนซิโนเจนให้เป็นแองจิโอเทนซิน II แองจิโอเทนซิน II
จึงไปเพิ่มความดันเลือดโดยทำให้หลอดเลือดแดงอาร์เทอริโอลหดตัว นอกจากนี้
แองจิโอเทนซิน II
ยังกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน เพื่อไปกระตุ้นการดูดกลับ Na+ ที่ดิสตอลทิวบูล และการดูดกลับ Na+
ทำให้เกิดการดูดกลับของน้ำเพิ่มขึ้น ดังนั้นความเข้มข้นของ Na+ ในเลือดจึงเพิ่มขึ้นรวมทั้งปริมาตรและความดันเลือดจึงเพิ่มขึ้นด้วย
มีผลไปยับยั้งการหลั่งเอนไซม์เรนิน กลไกการควบคุมโดยฮอร์โมนนี้จึงเป็นกลไกการควบคุมแบบย้อนกลับ
ดังรูปที่ 19
บางกรณีร่างกายผิดปกติ
นอกจากปล่อยน้ำและของเสียที่เกิดจากกระบวนการเมแทบอลิซึมออกมาแล้วยังอาจมีน้ำตาลและโปรตีนปะปนออกมาด้วย
แสดงถึงความผิดปกติของร่างกายซึ่งอาจเกิดที่บริเวณท่อของหน่วยไตหรือความผิดปกติของฮอร์โมนก็ได้
ดังนั้นในรายที่สงสัยว่าน้ำปัสสาวะจะมีสารต่าง ๆ ติดออกมาหรือไม่นั้น
แพทย์มักของกรวดน้ำปัสสาวะ โดยให้คนไข้นั้นงดรับประทานอาหารประมาณ 12
ชั่วโมง แล้วจึงเก็บน้ำปัสสาวะไปตรวจ pH ตรวจโปรตีนหรืออับบูมิน และตรวจน้ำตาล
การวัด pH ของน้ำปัสสาวะ
ใช้กระดาษวัด pH จุ่มลงในน้ำปัสสาวะแล้วมาเปรียบเทียบสี
การตรวจอัลบูมิน
ใช้กระดาษกรอง
กรองน้ำปัสสาวะเพื่อกรองฝุ่นหรือตะกอนก่อนทดสอบอัลบูมิน
รินน้ำปัสสาวะที่กรองแล้วประมาณ 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร นำไปอุ่นให้ร้อนจนเกือบเดือด
แล้วเติมกรดอะซิติกเข้มข้น 3 % 12
หยดลงในหลอดทดสอบ เขย่าเบา ๆ ให้เข้ากัน
หากมีตะกอนขุ่นเกิดขึ้นแสดงว่าในน้ำปัสสาวะมีอัลบูมิน
การตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ
ใส่สารละลายเบเนดิกต์
5 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลงในหลอดทดลอง เติมน้ำปัสสาวะลงไป 8 หยด เขย่าเบา ๆ
นำหลอดทดลองนี้ไปใส่น้ำที่กำลังเดือด หากสารละลายสีฟ้าไม่เปลี่ยนสี แสดงว่าไม่มีน้ำตาลกลูโคส
หากสารละลายมีสีน้ำเงินแกมเขียว เขียวแกมเหลือง เหลืองส้มหรือส้มแดงหรือแดง
แสดงว่ามีปริมาณน้ำตาลในน้ำปัสสาวะมากขึ้นตามลำดับ
ในการทดลองนี้เป็นวิธีตรวจสอบง่าย
ๆ เพื่อแสดงว่าน้ำปัสสาวะมีน้ำตาลหรือไม่
แต่ในการตรวจสอบของแพทย์นั้นต้องตรวจสอบมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความถ่วงจำเพาะ สี
สารต่าง ๆ โปรตีนต่าง ๆ
และปริมาณน้ำตาลในปัสสาวะรวมทั้งระยะเวลาในการเก็บน้ำปัสสาวะเอาไปผนวกกับการตรวจอาการอื่น
ๆ จึงจะวินิจฉัยโรคได้
ความผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องกับไต
นิ่ว เป็นโรคหนึ่งในหลาย ๆ โรคที่เกี่ยวข้องกับไต นิ่วเกิดจากการตกตะกอนของเกลือแร่ต่าง
ๆ ในน้ำปัสสาวะ การตกตะกอนนี้ทำให้เกิดเป็นก้อน อุดตันในท่อปัสสาวะ
การดื่มน้ำสะอาดวันละมาก ๆ
อาจช่วยให้ก้อนนิ่วก้อนเล็ก ๆ หลุดออกมากับน้ำปัสสาวะ
หรือน้ำไปทำให้เกลือแร่ต่าง ๆ ไม่สามารถตกตะกอนได้
พบว่าการเป็นนิ่วมีความสัมพันธ์กับอาหาร เช่น การกินผักบางชนิด เช่นใบชะพลู ผักโขม
ซึ่งมีสารออกซาเลตปริมาณสูง จึงมีโอกาสเป็นโรคนิ่วได้ง่ายกว่าปกติ
ในปัจจุบันการรักษานิ่วขึ้นกับการตัดสินใจของแพทย์ว่าจะใช้ยาหรือผ่าตัดหรือใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสลายนิ่ว
นิ่วอาจป้องกันได้ด้วยการกินอาหารประเภทโปรตีน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ไข่ นม
รวมทั้งถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้มีธาตุฟอสฟอรัส
ซึ่งเป็นตัวช่วยไม่ให้ออกซาเลตจับตัวกันเป็นผลึก
รวมทั้งพยายามหลีเลี่ยงที่จะไม่กินอาหารที่มีออกซิเลตสูง
โรคไตวาย
เป็นโรคที่ไตไม่สามารถทำงานได้ ของเสียซึ่งเป็นของเหลวจะถูกสะสมอยู่ในร่างกายไม่สามารถขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะได้
ทำให้การรักษาสมดุลของน้ำ แร่ธาตุและความเป็นกรด –
เบสของสารในร่างกายผิดปกติ โรคไตวายอาจมีสาเหตุมาจากการสูญเสียเลือดในปริมาณมาก
อาจเกิดจากการเป็นโรคเบาหวาน อาจเกิดจากการติดเชื้อที่รุนแรง เมื่อไตวายจะต้องใช้ ไตเทียม
( artificial kidney )
ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แทนไตทำการฟอกเลือด หรืออาจใช้การผ่าตัดเปลี่ยนไต
เมื่อผ่าตัดไตเหลือเพียงข้างเดียวก็สามารถทำงานได้เช่นกัน
แต่ปัญหาการเปลี่ยนไตอยู่ที่ร่างกายผู้รับ อาจปฏิเสธไตที่ได้จากผู้อื่น
ซึ่งอาจแก้ปัญหานี้ได้ ถ้าไตจากผู้ที่อยู่ใกล้ชิดทางพันธุกรรม
หรือผู้ที่เป็นคู่แฝดหรือแก้ไขระบบการไม่ยอมรับสิ่งแปลกปลอมของภูมิคุ้มกันร่างกาย
โดยการใช้ยากดระบบภูมิคุ้มกัน หรือทั้งฉายสี และใช้ยากดระบบภูมิคุ้มกันไปพร้อม ๆ
กัน
ในปัจจุบันคนที่เป็นโรคไตพิการ
สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยใช้เครื่องไตเทียมทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดแทนไต
โดยการต่อไตเทียมกับหลอดเลือดบริเวณแขนของผู้ป่วย
จากแรงดันในหลอดเลือดนี้ดันเลือดให้เข้าสู่ถุงเซลโลเฟนของเครื่องไตเทียม
ถุงนี้มีเยื่อบางมากและมีรูเล็ก ๆ ยอมให้สารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กผ่านเข้าออกได้
และถุงนี้แช่ไว้ในน้ำยาที่มีส่วนประกอบคล้ายเลือดยกเว้นไม่มีของเสีย
ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารและเกลือแร่ระหว่างน้ำเลือดและน้ำยาที่ใช้
ของเสียในน้ำเลือดจะซึมผ่านเยื่อเซลโลเฟนออกมาสู่น้ำยา
ส่วนเลือดที่ถ่ายของเสียออกแล้วจะกลับเข้าสู่หลอดเลือดดำ
ที่ต่อกับท่อซึ่งออกมาจากไตเทียม การใช้ไตเทียมกรองของเสียเช่นนี้จะใช้เวลาครั้งละ
3 – 6 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง
การใช้เครื่องไตเทียม
อาศัยหลักการในการแยกโมเลกุลขนาดเล็กออกจากโมเลกุลใหญ่
รวมทั้งหลักการแพร่ของสารละลายโดยให้สารละลายผ่านเยื่อบาง ๆ
ซึ่งโมเลกุลขนาดใหญ่จะผ่านเข้าหรือออกไม่ได้
เยื่อที่ใช้จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของเครื่องไตเทียมจะต้องมีสมบัติคล้ายผนังของหลอดเลือด
หรือแผ่นเซลโลเฟนซึ่งสารที่มีโมเลกุลเล็กโดยเฉพาะของเสีย เช่น ยูเรีย
ซึมผ่านเข้าออกได้
น้ำยาที่ใช้แช่ถุงเซลโลเฟนจะมีส่วนประกอบคล้ายเลือด
แต่ไม่มีของเสียเพื่อให้ของเสียในเลือดซึมผ่านถุงเซลโลเฟนออกมาในถังน้ำยา
ในขณะทำการฟอกเลือด และปริมาณของเสียในเลือดลดลงกว่าเดิม
เป็นการรับของเสียจากเลือด
เม็ดเลือดแดงซึ่งอยู่ในเลือดจะไม่สามารถผ่านถุงเยื่อเซลโลเฟนออกมาเพราะขนาดของเม็ดเลือดแดงใหญ่กว่ารูของกระดาษเซลโลเฟน
แต่ไตเทียมจะทำหน้าที่เหมือนไตธรรมชาติอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นไปไม่ได้เพราะนอกจากไตจะทำหน้าที่ฟอกเลือดแล้ว
ยังควบคุมรักษาระดับความดันโลหิต รักษาปริมาณน้ำในร่างกายให้สมดุล
นอกจากนี้ยังสร้างสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงอีกด้วย
ซึ่งไตเทียมทำหน้าที่เหล่านี้ไม่ได้
รูปที่ 20 ก.
เครื่องไตเทียม ข. แสดงการทำงานของเครื่องไตเทียม
การใช้เครื่องไตเทียม
ในทางการแพทย์ แพทย์จะใช้เครื่องไตเทียมช่วยผู้ป่วยซึ่งไตไม่ทำงาน
ขณะที่รอการรักษาหรือรอการผ่าตัดเปลี่ยนไตชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากการใช้ไตเทียมแต่ละครั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากในปัจจุบันมีการใช้เครื่องไตเทียมอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ